เครือข่ายคนทำงานอีสานร่วมแรงสู้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า จากมายาคติสู่ความหวังเพื่อเยาวชน

เขียนโดย ประภัสสุทธ| 16 Sep 2025| 115 views

สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยปี 2568 กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เข้าถึงง่ายกว่าที่เคย ข้อมูลจากหน่วยงานด้านสุขภาพย้ำเตือนว่า เด็กวัยประถมถึงมัธยมต้นเริ่มทดลองใช้เร็วขึ้น ขณะที่โซเชียลมีเดียทำให้บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็น “แฟชั่น” ในสายตาของวัยรุ่น

ภาคอีสานซึ่งมีชุมชนหลากหลาย กำลังเผชิญแรงกดดันนี้อย่างหนัก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภูมิภาคที่ประชาสังคมและหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ลุกขึ้นมารวมตัวกันขับเคลื่อนงานแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ภายใต้คณะทำงานเครือข่ายประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า คณะทำงานฯนี้ ได้ร่วมประชุมเมื่อวันที่ 13-14 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ภายใต้ โครงการพัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนงานสุขภาวะภาคีเครือข่ายภาคอีสาน แลกเปลี่ยนพูดคุยกันหลายประเด็น เพื่อหาแนวทางการทำงานขับเคลื่อนประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกัน

 

ธนภัทร แสงหิรัญ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) / ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้ชุมชนคนหนุ่มสาวจังหวัดสกลนคร

“มายาคติที่ต้องแก้” – ธนภัทร แสงหิรัญ

ธนภัทร แสงหิรัญ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) / ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้ชุมชนคนหนุ่มสาวจังหวัดสกลนคร อธิบายว่า ปัญหาสำคัญไม่ใช่แค่การเข้าถึง แต่คือ “ความเข้าใจผิด”

            “ สถานการณ์ตอนนี้ โดยทั่วไปคนมีความรู้พื้นฐานเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น แต่ในด้านความเข้าใจยังคลาดเคลื่อนอยู่เยอะ เช่น เข้าใจว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าดีกว่าบุหรี่มวน สูบบุหรี่ไฟฟ้าไม่ทำให้เกิดโรค ไม่อันตรายเท่าบุหรี่มวน เป็นมายาคติที่เราต้องแก้ เราจะทำยังไงก็ได้ให้เด็กเยาวชนและคนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ พร้อมกับตระหนักถึงปัญหาหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากบุหรี่ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นเราจึงอยากใช้พื้นที่การทำงานประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า เป็นพื้นที่การทดลองเครื่องมือเสริมความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายองค์กรภาครัฐ หน่วยงานโรงเรียน กลุ่มเด็กเยาวชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมได้ง่ายมากขึ้น ”

 

ณัฐณิชา เพียรกล้า บทบาท แกนนำเยาวชนกลุ่มเยาวชนGFUD

“ถ้าเราไม่ทำ ชุมชนจะไม่มีใครทำ” – ณัฐณิชา เพียรกล้า

ณัฐณิชา เพียรกล้า บทบาท แกนนำเยาวชนกลุ่มเยาวชนGFUD / เครือข่ายนักศึกษาสร้างเสริมสุขภาพ

แม้ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัยปี 2 แล้ว แต่เธอก็เริ่มทำกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งเสพติดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนมัธยมในชุมชน เช่น จัดกิจกรรมคลินิกเพื่อนช่วยเพื่อนเฉพาะประเด็นบุหรี่ กิจกรรมออกค่าย คิดว่าการทำกิจกรรมแบบนี้ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์กับตัวเอง ทำให้เป็นคนกล้าพูดมากขึ้น ปรับตัวเข้าหาสังคมได้มากขึ้น กล้าเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในมหาวิทยาลัย และสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นได้

“ ถ้าพวกหนูไม่ทำตรงนี้ ในชุมชนจะไม่มีกิจกรรมแบบนี้เลย เหมือนเป็นการสร้างคุณค่า สร้างบทบาทให้กับตัวเด็กเยาวชนอย่างเรา แม้พวกหนูเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในชุมชน แต่ก็ควรมีสิทธิที่จะทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ชุมชนได้ ไม่ใช่แค่หน้าที่ของผู้ใหญ่ หรือผู้นำชุมชนเท่านั้น ”

“ หนูอยากสร้างเกราะป้องกันให้น้อง ๆ ได้รู้เท่าทัน ทั้งเรื่องผลกระทบและกฎหมาย เราเริ่มจากโฟกัสกรุ๊ป คุยกันว่าน้องรู้จักบุหรี่ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน เคยลองหรือยัง แล้วทำกิจกรรมให้เขาเรียนรู้ผ่านการทำสื่อหรือตั้งเป้าหมายอนาคตของตัวเอง ”

“ อยากจะทำงานตรงนี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกที่มีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ดูแลน้องๆจากสิ่งเสพติด ถ้าเราปกป้องดูแลน้องๆได้ จะเป็นผลดีกับประเทศ อยากให้ช่วยกันดูแลต้นกล้าที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ”

เธอฝากข้อเสนอถึงภาครัฐว่า ควรเข้มงวดกฎหมายจริงจัง และช่วยสนับสนุนกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน

 

สุขชาดา ชมภูวรโชคเจริญ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.เลย

“ ความท้าทาย คือ ค่านิยม ” – สุขชาดา ชมภูวรโชคเจริญ

สุขชาดา ชมภูวรโชคเจริญ เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.เลย เล่าว่า การทำงานกับเยาวชนต้องต่อสู้กับค่านิยมที่ฝังรากในสังคม

ความเชื่อ ค่านิยมเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในหมู่วัยรุ่นที่คิดว่าเท่ เป็นการแบ่งปัน เด็กหลายคนมองว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นแฟชั่น หรือเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้รวมกลุ่มกับเพื่อน เราจึงต้องสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจมากพอให้เขาเลือกออกจากตรงนั้น ”

สุขชาดาชี้ให้เห็นถึงช่องว่างสำคัญระหว่างภาครัฐและการทำงานเชิงพื้นที่

“ เรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องออกแรงเยอะๆ ส่วนใหญ่จะไม่ทำ เพราะต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นผลในระยะสั้น จะดีมากถ้าเน้นทำเชิงคุณภาพและระยะยาว แต่ก็ต้องใช้พลังงานค่อนข้างเยอะ อันนี้คือช่องว่างที่เห็น ”

            แม้ปัจจุบันเธอทำงานภายใต้ระบบราชการ แต่ยอมรับว่าการทำงานกับเครือข่ายภาคประชาสังคมช่วยเสริมพลังใจและเครื่องมือใหม่ ๆ

            “ การมาร่วมกับเครือข่าย อย่างน้อยได้เห็นเพื่อนที่ทำงานแบบเดียวกัน ช่วยเสริมพลังของเรา ทำให้ไม่รู้สึกว่าขับเคลื่อนอยู่คนเดียว ที่สำคัญคือได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เครื่องมือการทำงาน ช่วยอัพเดตกระบวนการทำงานของเรา ”

            สุขชาดา ยังฝากข้อความทิ้งท้ายว่า อยากชวนเพื่อนในหน่วยงานรัฐออกไปเจอเครือข่ายบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวทางการทำงานให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น

ก่อนหน้านี้ทำกิจกรรมกับเครือข่าย แต่พอเข้ามาอยู่กับภาครัฐก็ดูแต่หน้างานตัวเองเพราะมีตัวชี้วัด มีนโยบายที่ต้องทำตาม แต่ถ้าเป็นไปได้อยากจะให้คนที่ทำงานในภาครัฐ อยากจะให้พยายามศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ออกไปเจอเครือข่าย ไปแลกเปลี่ยนกัน เพราะสุดท้ายแล้วแม้มีความรู้เยอะไปก็เท่านั้น ถ้ามีโอกาสได้แบ่งปันจะดีมาก อยากให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น ชวนออกมาจากเซฟโซน เพื่อมาทำงานเชิงคุณค่ามากขึ้น วันนี้เราต้องแก่ ถ้าเราสร้างเด็กที่มีคุณภาพไว้ เขาจะดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องมีเรา ”

 

 

บทเรียนที่หลากหลาย ช่วยอุดช่องว่างกันและกัน

ธนภัทร ย้ำว่า วงการเรียนรู้การทำงานด้านบุหรี่ไฟฟ้าครั้งนี้ เป็นความหลากหลายของบทเรียนทั้งรัฐและภาคประชาสังคม ช่วยเติมเต็มช่องว่างให้กันในการทำงาน

บทเรียนบางบท หรือข้อเรียนรู้บางอย่างที่แต่ละคนมี จะช่วยประกอบร่างเป็นแนวทางที่จะเกิดประโยชน์กับคนทำงานหรือกลุ่มเป้าหมาย เพราะแต่ละคนมีที่มาจากหลากหลายส่วน เช่น หน่วยงานภาครัฐ  โรงเรียน บ้านพักเด็ก ภาคประชาสังคม แต่ละคนมีบริบทต่างกัน พอมาแชร์กันก็จะเห็นช่องว่างระหว่างกัน แล้วองค์ความรู้ ชุดประสบการณ์ของบางคน ก็จะช่วยอุดช่องว่างของกันได้ เช่นคนทำงานภาคประชาสังคมที่ไปทำงานกับโรงเรียน ก็จะเข้าใจภาพบริบทจากคนทำงานที่มาจากโรงเรียน จะได้วางแผนใช้เครื่องมือ วางจังหวะที่เหมาะสมกับการทำงานในโรงเรียน หรือเช่นบ้านพักเด็กอาจจะมีแนวทางการทำงาน หรือแนวนโยบายที่เหลื่อมกันบางอย่าง เราก็จะช่วยพัฒนาศักยภาพแกนนำสภาเด็กเยาวชนที่อยู่ภายใต้บ้านพักเด็กฯ เป็นกระบอกเสียงช่วยเรา สื่อสารถึงปัญหา การสร้างความตระหนักรู้แก่เด็กเยาวชนในวงกว้างได้อีก ได้ทั้งเชิงปริมาณ และอาจจะได้เชิงคุณภาพเกิดขึ้นในระหว่างทางโครงการ”