ไทอีสานเดินหน้าสุขภาวะ 68 ขับเคลื่อน 4 ประเด็น ด้วยข้อมูลและนวัตกรรม
เขียนโดย ประภัสสุทธ| 24 Aug 2025| 121 views

คณะทำงานกลาง “ Core Team ” เปิดประชุมครั้งแรกที่นครพนม 9-10 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมนาคราช โรงแรมแม่โขงเฮอริเทจ อ.เมือง จ.นครพนม เพื่อวางเข็มทิศขับเคลื่อนสุขภาวะภาคอีสาน จากการที่ภาคอีสานเผชิญความท้าทายด้านสุขภาพ ตั้งแต่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อัตราสุขภาพจิตที่น่ากังวล ไปจนถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ สสส.ร่วมกับมหาวิทยาลัยนครพนม เดินหน้าโครงการพัฒนาศักยภาพระบบและกลไกเชื่อมประสานภาคีสุขภาวะ ครอบคลุม 20 จังหวัด แนวทางใหม่ปรับลดประเด็นจาก 6 เหลือ 4 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมเสริมพลังด้านข้อมูล สื่อ และงานวิชาการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจริง เป้าหมายคือยกระดับความร่วมมือและขับเคลื่อนให้คนอีสานมีสุขภาวะที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร.คณิน เชื้อดวงผุย อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม
ผู้รับผิดชอบโครงการฯ ผศ.ดร.คณิน เชื้อดวงผุย อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม ระบุว่าการขับเคลื่อนงานสุขภาวะภาคอีสานปีนี้ตั้งเป้าต่อยอดจากฐานทุนเดิมที่สร้างไว้ ทั้งกลไกคณะทำงานและระบบสนับสนุน เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ 4 ประเด็นหลัก สังคมสูงวัย สุขภาพจิต อาหารปลอดภัย และบุหรี่ไฟฟ้า จะถูกหนุนเสริมให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อถึงระดับนโยบาย โดยใช้แนวทางเน้นการมีส่วนร่วมของภาคีในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกพื้นที่เป้าหมาย ไปจนถึงการออกแบบการพัฒนาศักยภาพที่สอดคล้องกับความต้องการ ใช้ข้อมูลขับเคลื่อนงาน ควบคู่กับการถอดองค์ความรู้และผลิตสื่อเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
“ เป้าหมายการทำงานในปีนี้ เป็นการต่อยอดการทำงานในปีที่ผ่านมา ซึ่งเรามีทุนเดิมที่สำคัญคือกลไกการทำงาน ประกอบด้วยคณะทำงานชุดต่างๆ เช่น คณะทำงานกลาง หรือ Core Team คณะทำงานประเด็น และระบบสนับสนุน ได้แก่ ระบบฐานข้อมูล งานวิชาการ ภาพการสื่อสาร การประเมินภายใน ดังนั้นการดำเนินงานจึงมีวัตถุประสงค์เพิ่มศักยภาพกลไกและระบบ เพื่อให้สามารถสนับสนุนภาคีเครือข่ายสุขภาพใน 4 ประเด็นให้เกิดความเข้มแข็ง และเกิดกลไกระดับภาคเพื่อผลักดันการขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ นโยบาย เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อไป ”
“ วิธีการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โครงการได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม โดยให้แต่ละประเด็นมีส่วนในการตัดสินใจเพิ่มขึ้น เช่น การเลือกพื้นที่ภาคีสุขภาวะที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ให้เกิดการกระจายมากขึ้น เช่น เป็นกลุ่มจังหวัด หรือเขตสุขภาพ เพื่อให้การทำงานได้ใกล้ชิด และสามารถเชื่อมต่อในเชิงนโยบาย ประการต่อมา คือให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคีที่สอดคล้องกับความต้องการ และความจำเป็นของเขา ทั้งยังหนุนเสริมการใช้ข้อมูลขับเคลื่อนงาน (Data driven) การถอดองค์ความรู้ และการผลิตสื่อเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญการทำงานโครงการจะเชื่อมประสานกับภาคียุทธศาสตร์หลักในพื้นที่ภาคอีสาน เช่น กขป.เขต, สมัชชาสุขภาพ, พอช., สปสช. รวมถึงเครือข่ายอื่นๆ ได้แก่ เครือข่ายนักวิชาการ ภาคประชาสังคมอีสาน เพื่อขับเคลื่อนภาพใหญ่ร่วมกัน ”
คุณธนภัทร แสงหิรัญ ผู้ประสานงานประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า
ด้านผู้ประสานงานประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า คุณธนภัทร แสงหิรัญ บอกกับเราว่าในปีนี้ทีมงาน และเครือข่ายภาคีจากหลายภาคส่วนเริ่มมองเห็นโอกาสในการรวมพลังทำงานร่วมกัน เพราะจากประสบการณ์ปีก่อนที่ขับเคลื่อนประเด็นเด็กและเยาวชน ทำให้การเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์กลายเป็นจุดแข็ง ปีนี้ ความตั้งใจคือใช้ข้อมูลสถานการณ์จริงในแต่ละพื้นที่เป็นฐานสร้างกระบวนการทำงานที่มีรูปธรรม แม้จะยังไม่มีสูตรสำเร็จ แต่มองว่าการเปิดพื้นที่ให้ภาคีได้ทดลอง เรียนรู้ร่วมกัน อย่างน้อยจะเห็นแนวทางที่เหมาะสมต่อการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าระดับพื้นที่
“ เราเห็นโอกาสในการได้เชื่อมเพื่อน ได้เจอเพื่อนแล้วก็ทำงานกับเพื่อนที่ทำประเด็นเดียวกัน เพราะปีที่ผ่านมา เราทำประเด็นเด็กและเยาวชน แน่นอนว่าเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันก็เป็นคนจากหลายๆ แวดวงทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม กลุ่มเยาวชนต่างๆ คือเป็นพวกที่มีหัวจิตหัวใจที่อยากขับเคลื่อน พัฒนาตัวเด็กและเยาวชนด้วยกัน ”
“ ปีนี้จึงมุ่งหวังว่าการทำงานบนชุดข้อมูลต่างๆ ในประเด็นบุหรี่ไฟฟ้ามันน่าจะเอื้ออำนวยให้กลไกการทำงานภายใต้ประเด็น สามารถขับเคลื่อนเป็นสเต็ป และมีรูปธรรม แต่ว่ามันยังไม่มีรูปแบบตายตัวเพราะยังใหม่ ดังนั้นรูปแบบ กระบวนการที่สมบูรณ์แบบ จะยังไม่มี แต่ว่ากระบวนการทำงานที่ผ่านมาบนสถานการณ์ปัญหาจริง ในแต่ละพื้นที่ เชื่อว่าพอจะเห็นเค้าโครงอะไรบางอย่างที่จะเป็นตัวตั้งหลัก ให้ภาคีเครือข่ายที่เข้าร่วมกับเรา ได้ยึดจับหรือนำไปใช้ได้ มันก็เป็นเป้ากรายๆ ด้วยว่าจะทำให้เกิดพื้นที่รูปธรรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่ากี่พื้นที่ แต่เราเชื่อว่าวงแบบนี้ จะเอื้ออำนวยให้งานเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งอาจไม่ใช่เป้าของโครงการนี้ก็ได้ แต่ว่ามันสามารถแก้ปัญหาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในระดับพื้นที่ได้ ”
คุณทานตะวัน สิงห์แก้ว ผู้ประสานงานประเด็นอาหารปลอดภัย
ด้านคุณทานตะวัน สิงห์แก้ว ผู้ประสานงานประเด็นอาหารปลอดภัย อธิบายการทำงานในปีนี้ว่า ทีมประเด็นฯ ได้วางเป้าหมายปีนี้ชัดเจนมากขึ้น ขยับจาก “ต้นน้ำ” สู่ “กลางน้ำ-ปลายน้ำ” แผนงานมุ่งพัฒนาระบบตลาด กำกับติดตามมาตรฐาน และสร้างผู้บริโภคที่รู้เท่าทัน หัวใจคือการต่อยอดตลาดนัดสีเขียวให้เป็นศูนย์กลางกระจายอาหารปลอดภัย เชื่อมเกษตรกรกับผู้ซื้อโดยตรง พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิดให้ผู้บริโภคคัดกรองอาหารที่กินได้ด้วยตนเอง
“ ประเด็นอาหารปลอดภัย เป้าหมายการทำงานในปีนี้ เราวิเคราะห์ว่าระบบอาหารปลอดภัยของเรา ที่มีอยู่ 4 ตัวคือ ระบบการผลิต ระบบการตลาด ระบบการกำกับควบคุมคุณภาพ และระบบผู้บริโภค จากที่เราคุยกับทีมงาน เห็นว่าระบบการผลิตอาหารที่ปลอดภัย มีคนทำในส่วนนี้เยอะแล้ว เป้าหมายของเราปีนี้คือเน้นทำงานจากกลางน้ำไปหาปลายน้ำ คือทำระบบตลาด ผ่านเครือข่ายตลาดนัดสีเขียวภาคอีสาน ระบบกำกับติดตามมาตรฐาน และระบบผู้บริโภค ”
“ วิธีการคือ มุ่งเป้าไปที่การต่อยอดจากงานฐานเดิมที่มีอยู่แล้ว คือตลาดเขียว เพราะเราตั้งคำถามกลับกันว่าความไม่ปลอดภัยของอาหารมาจากไหน ส่วนมากมาจากอาหารที่เราไม่ได้ผลิตเอง อาหารที่ซื้อกินเอง ฉะนั้นเราจึงไปเน้นที่หน่วยการตลาด หน่วยกระจายอาหารที่ปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภค พร้อมกับติดตั้งความคิดกับตัวผู้บริโภคให้มีความรู้เรื่องอาหารปลอดภัย เพราะชื่อว่าถึงแม้อาหารที่เข้ามาจะไม่ปลอดภัยก็ตาม หากผู้บริโภคมีวิธีการสกรีนได้ว่าถ้ากินอาหารไม่ปลอดภัยจะมีผลอย่างไร ทุกคนจะวิ่งหาอาหารที่ปลอดภัยกินเอง ”
คุณวชิรญาณ์ ขาวจุ้ย ผู้ประสานงานประเด็นสุขภาพจิต
ส่วนประเด็นสุขภาพจิต นำโดยผู้ประสานประเด็น คุณวชิรญาณ์ ขาวจุ้ย ที่เข้าร่วมประชุมทางออนไลน์ ให้เหตุผลถึงการทำงานโครงการในรอบนี้ว่า ท่ามกลางความท้าทายด้านสุขภาพจิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การรวมพลังของภาคี 4 จังหวัดได้วางหมุดหมายสำคัญเพื่อสร้างพื้นที่ต้นแบบและถอดบทเรียนการทำงานเชิงลึก เวทีหารือครั้งนี้ไม่เพียงสร้างทีมทำงานและเครือข่ายที่พร้อมเดินหน้า แต่ยังวางรากฐานข้อมูลและทิศทางการขับเคลื่อนที่ชัดเจน พื้นที่การทำงานได้ถูกเลือกแล้ว พร้อมแผนปฏิบัติงาน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อเก็บข้อมูลทั้งบริบท กระบวนการ ผลลัพธ์ และข้อจำกัด ควบคู่กับการสำรวจความต้องการพัฒนาภาคีสุขภาพจิตและเชื่อมต่อกับภาควิชาการ เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องและใช้ได้จริง
“ หลังเวที 19 ก.ค. 2568 เราได้คณะทำงานประเด็นสุขภาพจิต และข้อสรุปชัดว่าจะใช้ 4 พื้นที่ต้นแบบในร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม เป็นจุดเริ่มต้นในการถอดบทเรียน โดยมีทีมทำงานและผู้ประสานงานในแต่ละจังหวัด พร้อมข้อมูลเบื้องต้น ทำให้เรามีฐานข้อมูลและเครือข่ายเริ่มต้นที่พร้อมขับเคลื่อนต่อ "
" จากนั้นในวงนี้ เราได้แนวทางการดำเนินงานในโครงการที่ชัดเจนขึ้น โดยในช่วง 2–4 เดือนข้างหน้า จะลงพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อมูลให้ครบถ้วน ทั้งบริบท กระบวนการทำงาน ผลลัพธ์ และข้อจำกัด พร้อมทั้งค้นหาและสำรวจความต้องการพัฒนาภาคีสุขภาพจิต 20 + 10 คน เชื่อมการทำงานกับภาควิชาการเพื่อเสริมข้อมูลและแนวทาง ก่อนนำสิ่งที่ได้มาร้อยเป็นแผนปฏิบัติที่ใช้ได้จริงและสามารถขยับงานต่อไปได้ ”
ดร.พัชราพร ควรรณสุ ผู้ประสานงานประเด็นสังคมสูงวัย
ปิดท้ายด้วยประเด็นสังคมสูงวัย ดร.พัชราพร ควรรณสุ ผู้ประสานงานประเด็น ก็ระบุเป้าหมายการทำงานในปีนี้ว่า การขับเคลื่อนงานสุขภาวะในพื้นที่ ผู้นำและกลไกการทำงาน ถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญ การพัฒนาศักยภาพคนทุกระดับ จากชุมชนถึงจังหวัด จะช่วยให้การทำงานมีพลังและต่อยอดผลลัพธ์ได้จริง นวัตกรรมอย่างศูนย์ Day Care และ “Good Dead” ที่พิสูจน์ผลสำเร็จแล้ว จะถูกนำไปเสนอแก่ อบจ. สสจ. และผู้บริหารในพื้นที่ เป้าหมายคือให้จังหวัดนำแนวทางนี้ไปขับเคลื่อนจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในภาพรวม
“ มองเห็นว่าในการลงไปทำงาน สิ่งสำคัญที่จะต้องการให้เกิด คือ ผู้นำหรือกลไกในการขยับงาน ถ้าทีมภาคีไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ งานต่างๆ มันจะไม่บรรลุผล ผลลัพธ์เราก็จะไม่ดี การขยายผลในงานเราก็จะมองไม่เห็นภาพ ทั้งระดับชุมชน ภาคีเครือข่ายอำเภอ จังหวัด รวมทั้งต้องพัฒนาคนระดับต่างๆ ให้มีความรู้ ความเข้าใจแล้วนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งในการทำงาน ”
“ เราจะยังใช้นวัตกรรมศูนย์ Day Care และ Good dead ที่เห็นผลสำเร็จในปีที่ผ่านมา ไปคุยกับ อบจ. สสจ. สปสช. และผู้นำภาคีระดับจังหวัดต่างๆ ไปเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร เกิดผลอะไรขึ้นบ้าง เพราะเราอยากให้ทางจังหวัดนำงานของเราไปขับเคลื่อน ไปต่อยอดเพื่อให้เกิดภาพรวมทั้งจังหวัด ”
.
การประชุม “Core Team ” ครั้งแรกที่นครพนมนี้ จบลงด้วยความชัดเจนในเป้าหมายและทิศทางร่วมกัน 4 ประเด็นหลัก สังคมสูงวัย สุขภาพจิต อาหารปลอดภัย และบุหรี่ไฟฟ้า ถูกกำหนดให้เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนสุขภาวะอีสานปี 2568 การทำงานจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของภาคีทุกระดับ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยทุกฝ่ายเชื่อว่าการเชื่อมโยงเครือข่ายและการต่อยอดจากความสำเร็จเดิม จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน นี่คือก้าวสำคัญที่น่าจับตา ว่าภาคีอีสานจะสามารถพลิกภาพสุขภาวะของคนทั้งภาคให้ดีขึ้นได้เพียงใดในปีนี้ และต่อไป