ฟัง–ร่วม–หนุน เครือข่ายประเด็นสุขภาพจิตจังหวัดขอนแก่น
เขียนโดย ประภัสสุทธ| 24 Aug 2025| 80 views

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรม นาดีรีสอร์ต จังหวัดขอนแก่น สสส. สำนัก 2 และ สภส. ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายประเด็นสุขภาพจิต ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมในจังหวัดขอนแก่น จัดประชุมเชิงปฏิบัติการภาคีเครือข่ายสุขภาพจิตจังหวัดขอนแก่น เพื่อบูรณาการงานด้านสุขภาพจิตร่วมกัน โดยเปิดเวทีระดมความคิด สำรวจต้นทุน วิเคราะห์ช่องว่างในประเด็นงานสุขภาพจิต 3 เซ็ตติ้ง ได้แก่ ชุมชน โรงเรียน และมหาวิทยาลัย
คุณโศภิษฐ์ ขันแข็ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ (สภส.) เล่าเป้าหมายการจัดประชุมให้ฟังว่า วงคุยครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้คนทำงานสุขภาพจิตในขอนแก่นมาทำความรู้จักกัน มาเห็นต้นทุนของกันและกัน เห็นช่องทางในการเชื่อมงานกันได้ในอนาคต
“ เป้าหมายการจัดงานในครั้งนี้ คือ การบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในจังหวัด เป็นโอกาสให้คนทำงานสุขภาพจิตขอนแก่นในพื้นที่มารู้จักกัน ได้รู้ต้นทุนของตัวเอง เพราะเราจะเห็นได้เลยว่า ในขอนแก่นมีทุนคนทำงานทางด้านสุขภาพจิตเยอะมาก แต่เขายังไม่รู้จักกัน และไม่มีโอกาสมาเชื่อมกัน อย่างเวทีนี้เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าเขาได้พูดคุยกัน เริ่มแชร์ทรัพยากรกันเกิดขึ้นว่า จะส่งต่อสนับสนุนกันได้อย่างไร เวทีวันนี้เป็นเหมือนพื้นที่กลางให้เกิดการแลกเปลี่ยนงานกัน และท้ายที่สุดจะนำไปสู่การวางแผนร่วมกันว่า จะขยับงานร่วมกันยังไงต่อ ”
คุณเพ็ญลักษณ์ เทศสุวรรณ นักบริหารแผนงานชำนาญการพิเศษ สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สสส.สำนัก 2) อธิบายเพิ่มเติมว่า ในเชิงนโยบายการสนับสนุนประเด็นงานสุขภาพจิต จำเป็นจะต้องเข้าใจปัญหาการทำงานระดับพื้นที่เช่นกัน เพื่อที่จะออกแบบยุทธศาสตร์การสนับสนุนให้เอื้อต่อการทำงาน เพราะบางทีปัญหาการทำงานในพื้นที่ไม่ได้มีแค่เรื่องงบประมาณเพียงอย่างเดียว การได้มาพบปะพูดคุยกับคนทำงานตัวจริงจึงมีความสำคัญ
“ เราอาจจะทำงานตรงกลางมาเยอะ ถ้าเรามาเห็นงานของพื้นที่จริงๆ เขาไม่ได้ขาดเครื่องไม้เครื่องมือเลย เพียงแต่เครือข่ายไม่ได้ถูกพามาทำงานด้วยกัน แล้วเหมือนมีช่องว่างระหว่างบรรทัดบางอย่างที่มีปัญหาอยู่ แต่ว่าไม่ได้รับการแก้ไข ถ้าการทำงานในเชิงพื้นที่ เรามีเครือข่ายร่วมกันทำงานหลายๆภาคส่วน จะช่วยกันส่งต่อข้อมูล ส่งต่อเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิต คิดว่าต้องเกิดอะไรดีๆขึ้นได้แน่ ”
“ คิดว่ามันยังไม่เห็นภาพ ถ้ามีการถอดบทเรียน หรือจัดการความรู้ เหมือนเวลาที่หลายภาคส่วนมาคุยกันแล้วสามารถบอกปัญหาได้ต่อเนื่อง เพราะบางที ปีนี้ปัญหาเป็นแบบนี้ แต่ปีหน้าปัญหาเป็นอีกแบบหนึ่ง มันจึงจำเป็นต้องมีวงพูดคุยกัน เพราะงานถูกนำไปสู่การกำหนดนโยบาย จะช่วยลดช่องว่างระหว่างพื้นที่กับนโยบายได้ ”
ขณะที่คุณครูวชิรญาณ์ ขาวจุ้ย ครูสายวิทย์โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ผู้ประสานการจัดงานในครั้งนี้ ก็มีความหวังว่า “การเริ่มต้น” เจอกันของหน่วยงานที่ขับเคลื่อนงานสุขภาพจิตขอนแก่น ทั้งภาคชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาล เมื่อได้ “รับฟัง” กันแล้ว จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดียวในการทำงาน เพราะยังมีภาคีอื่นๆ ที่กำลังรับมือกับการแก้ปัญหาสุขภาพจิตในหลายระดับ ไม่ใช่หน่วยงานคู่ขนานกัน หากแต่ควรเริ่มมองไปข้างหน้าว่าจะช่วยสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างไร
“ ลัมรู้สึกว่าประเด็นสุขภาพจิตในพื้นที่เรามันมีหลายมุม หลายปัจจัย และไม่มีใครคนเดียวหรือหน่วยงานไหนที่จะแก้ได้ทั้งหมด พวกเราหลายคนทำงานอยู่กับคนจริง ๆ อยู่แล้ว ทั้งในโรงเรียน ชุมชน มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาล เราเจอทั้งเรื่องหนัก เรื่องที่สะเทือนใจ หรือบางครั้งก็เจอความรู้สึกว่า…เราทำอยู่คนเดียว ”
“ ที่ผ่านมาเราอาจยังไม่มีโอกาสได้มาเจอกันแบบนี้ มาฟังกัน พูดคุยกัน หรือชวนกันคิด ว่าถ้าเราจะลองทำอะไรด้วยกันเพื่อสุขภาพจิตของคนในขอนแก่น เราจะเริ่มตรงไหนได้บ้าง ลัมเลยมองว่าเวทีแบบนี้มันไม่ใช่แค่งานประชุม แต่มันคือ “พื้นที่เริ่มต้น” ที่เราจะได้รู้จักกันใหม่ในฐานะภาคี ไม่ใช่คู่ขนาน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ เพราะลัมเชื่อว่าทุกเสียงมีพลัง และทุกคนสมควรถูกฟังด้วยความเข้าใจ ”
ปัญหาการทำงานสุขภาพจิตในขอนแก่น ช่องว่างที่ยังรอการปิดร่วมกันทั้งภาคชุมชน โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ในภาคชุมชนคุณกานต์ญาณี เกียรติพนมแพ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนจากกลุ่มเซ็ตติ้ง “ชุมชน” ซึ่งประกอบด้วยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 สรุปช่องว่างสำคัญ 3 เรื่องคือ โครงสร้าง งบประมาณ และองค์ความรู้
“ ในเชิงโครงสร้าง พบว่ากรอบอัตรากำลังในหน่วยงานภาครัฐทั้งระดับพื้นที่ และตำบล มีบุคลากรน้อย การดำเนินงานสุขภาพจิตไม่ครอบคลุมชัดเจน ขึ้นอยู่กับนโยบายจังหวัดด้วยว่าเล่นเรื่องอะไร ทำให้งานสุขภาพจิตไม่โดดเด่นนัก ในส่วนงบประมาณ เนื่องจากว่า งานสุขภาพจิตไม่ได้เป็นนโยบายหลัก จึงได้รับงบประมาณสนับสนุนน้อย จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการในงานอื่นๆมาช่วย ส่วนด้านองค์ความรู้ แกนนำยังขาดความรู้ที่จะส่งต่อสื่อสารแก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เขามีทักษะดูแลตัวเองเวลาเจอปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มเสี่ยงเองก็ยังมีน้อย ”
ปัญหาช่องว่างการทำงานของภาคโรงเรียน คุณลิขิตพันธุ์ อมรสิรินันท์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมิตรวิทยา ตัวแทนจากกลุ่มโรงเรียน ประกอบด้วยโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย, โรงเรียนเบญจมิตรวิทยา, โรงเรียนชุมแพศึกษา, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น และสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เล่าให้ฟังว่าช่องว่างการทำงานที่สำคัญ คือ ยังขาดบุคลากรที่มีความรู้/ทักษะการทำงานเฉพาะด้านสุขภาพจิต เพื่อให้คำปรึกษาหรือส่งต่อเด็กนักเรียนที่มีความเสี่ยงสุขภาพจิตได้ทันท่วงที ลดปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
“ บุคลากรที่ทำงานเฉพาะด้านสุขภาพจิต ที่คอยรับมือนักเรียนกลุ่มสีส้ม สีแดง ขาดความรู้ในการรับมือเพื่อแก้ไขจัดการกับเคส ดูแลอย่างไร ส่งต่ออย่างไร อันที่สองคือบุคลากรที่อยู่ในโรงเรียน ทุกคนจะมีหน้างานคือให้คำปรึกษาอย่างรอบด้านแก่นักเรียนในโรงเรียน กลุ่มนี้จะขาดความรู้พื้นฐาน หรือความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต ซึ่ง บุคลากรกลุ่มนี้มีความสำคัญที่จะดูแลเสริมสร้างป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่ต้นทางได้ ”
ช่องว่างการทำงานในภาคมหาวิยาลัย/โรงพยาบาล ปัญหาช่องว่างที่พบ ได้แก่ ขาดการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกัน ขาดเงินทุนพัฒนาองค์ความรู้/บุคลากร และขาดการถอดบทเรียนร่วมกัน ผศ.ชมภูนุท กาบคำบา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตัวแทนจากกลุ่มมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย หาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโรงพยาบาลจิตเวช สรุปให้ฟังว่า
“ Gap ที่เราพบในการทำงานมหาวิทยาลัย คือ แม้ในมหาวิทยาลัยจะมีศูนย์ฯ องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสุขภาพจิตอยู่แล้ว เช่น คณะพยาบาล หรือ PGU แต่ยังขาดการทำงานที่เชื่อมโยงกัน เพราะยังมีขอบเขต ซึ่งควรมีอิสระมากกว่านี้ ซึ่งจะทำให้นักศึกษา หรือผู้มารับบริการเข้าถึงบริการได้รวดเร็วมากขึ้น อันที่สองคือ ขาดระบบที่รองรับการทำงานส่งต่อเคสไปยังหน่วยงานภายนอก ไปยังโรงพยาบาลจิตเวช ที่รวดเร็ว และไม่ให้เกิดการตีตรานักศึกษา อันที่สาม เราขาดเงินทุนสนับสนุน ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรอัพสกิล รีสกิล บุคลากร หรือเอาชุดความรู้ที่เรามีไปสู่บุคคลทั่วไป และในแง่ของการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย หรือสถาบันภาครัฐ เช่น โรงพยาบาลจิตเวช สถาบันกัลยา จากที่เราคุยกันเราพบว่า แต่ละสถาบันมีชุดหลักสูตร ชุดความรู้เหมือนกัน แต่ขาดการ KM ว่าหลักสูตรเหล่านี้มีอะไรที่เราทำงานร่วมกันได้ อันไหนที่ Overlap กัน ถ้ามีช่วงเวลาที่ได้ KM ร่วมกันคิดว่าน่าจะดีขึ้น ”
ตั้ง Core Team เพื่อขยับงานสุขภาพจิตขอนแก่นร่วมกัน โดยใช้แนวทาง “ฟัง-ร่วม-หนุน” หลังการแลกเปลี่ยน/ระดมความคิดเห็นร่วมกัน ในวงมีความเห็นตรงกันว่าต้องมีคณะทำงานจากภาคส่วนต่างๆ ที่มาในวันนี้ อาสาเข้ามาเป็น Core team เพื่อออกแบบการทำงานหนุนเสริมเสริมช่วยกันต่อไป โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่มีความหมาย คุณครูวชิรญาณ์ กล่าวปิดท้ายกับเราว่า
“ เวทีวันนี้ ส่วนตัวไม่ได้อยากให้เป็นแค่การมานั่งฟังใครพูดแล้วก็จบไป ลัมอยากให้ที่นี่เป็นวงของการร่วมคิด ร่วมลงมือ และร่วมเรียนรู้ อย่างแท้จริง แนวทางที่เรายึดมาตลอดก็คือ 3 คำง่าย ๆ ฟัง–ร่วม–หนุน ฟัง คือเราฟังพื้นที่ ฟังประสบการณ์ ฟังสิ่งที่แต่ละคนเจอจริง ๆ โดยไม่ตัดสิน ร่วม หมายถึง เราร่วมกันออกแบบ ไม่ใช่ให้ใครชี้นำ หรือมีลำดับ ใครอยู่เหนือใคร หนุน-เราหนุนในสิ่งที่พื้นที่ต้องการจริงๆ ไม่ยัดโมเดล ไม่ใช้ตัวชี้วัดไปบีบ ลัมไม่ได้หวังให้เวทีนี้เป็นจุดจบของความร่วมมือ แต่หวังให้เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ”
" เหมือนวันนี้เราได้เริ่มต้นรู้จักกันใหม่ และค่อย ๆ ต่อสายสัมพันธ์ให้แน่นขึ้นผ่านการลงมือทำร่วมกัน และสิ่งที่น่าดีใจมาก ๆ คือ จากการพูดคุยวันนี้ เราได้เห็นพลังของหลายภาคส่วน จนสามารถรวมตัวกันตั้งเป็น Core Team เพื่อเป็นกลุ่มแกนนำขับเคลื่อนสุขภาพจิตในจังหวัดขอนแก่น โดยเลือกจาก “คนที่มีใจ” ตัวแทนจากหลากหลายบทบาท ทั้งจากโรงเรียน ชุมชน มหาวิทยาลัย ระบบบริการสุขภาพ และหน่วยงานสนับสนุน เพื่อช่วยกันต่อยอดสิ่งที่เราร่วมกันเริ่มในเวทีนี้ ลัมถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วค่ะ ”