ร้อย-แก่น-สาร-สินธุ์ ผนึกพลังขับเคลื่อนสุขภาพจิตชุมชน

เขียนโดย ประภัสสุทธ| 24 Aug 2025| 83 views

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ที่ ห้องประชุมศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 ถ.ชาตะผดุง อ.เมือง จ.ขอนแก่น คณะทำงานประเด็นสุขภาพจิต ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพระบบและกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนงานภาคีเครือข่ายสุขภาวะภาคอีสาน ดำเนินงานโดยมหาวิทยาลัยนครพนม สนับสนุนโดยสำนักภาคีสัมพันธ์และวิเทศสัมพันธ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ได้จัดประชุมคณะทำงานประเด็นสุขภาพจิตเพื่อทำความเข้าใจโครงการ และวางแผนการดำเนินงานร่วมกันในระยะเวลา 18 เดือน โดยใช้แนวคิด Happy Community ค้นหาบทเรียน องค์ความรู้ของภาคีที่ทำงานเสริมสร้างป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชน ในพื้นที่การทำงานของศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีร่วมมือหลักในโครงการประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม

.

คุณครูวชิรญาณ์ ขาวจุ้ย ผู้ประสานงานประเด็นสุขภาพจิต เล่าถึงความเป็นมาของโครงการนี้ ก่อนที่จะมาเป็นผู้ประสานงานประเด็นสุขภาพจิตว่า เกิดจากบทบาทหน้าที่ของ สภส. ที่พยายามเชื่อมเครือข่ายภาคีที่รับทุนสนับสนุนจาก สสส.ให้มาเจอกัน เรียนรู้กัน และทำงานเชื่อมร้อยกันในประเด็นที่ขับเคลื่อน จนเกิดความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดี ประสานเชื่อมต่อมากกว่างานโครงการ

“ ด้วย สสส.เป็นหน่วยงานที่ให้ทุนแก่องค์กรเครือข่ายออกไปทำงานสุขภาวะทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละหน่วยงานองค์กร ไม่รู้จักกัน สภส.จึงทำหน้าที่เชื่อมหน่วยงานภาคีที่รับทุนกับ สสส. ให้มารู้จักกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ กระบวนการทำงานต่างๆ รู้สึกว่าทำให้เกิดการพัฒนาทั้งในมุมส่วนตัว ในแง่ว่าคนที่เราเจอมันกลายเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันภายหลัง เช่นว่า เชิญไปช่วยงาน ไปเป็นวิทยากร มีความสัมพันธ์กันมากกว่างาน ส่วนมุมทำงาน ช่วยให้เราที่ทำงานประเด็นสุขภาพจิต มีองค์ความรู้ หรือทักษะการทำงานด้านนี้เพิ่มขึ้น ”

ครูวชิรญาณ์ ขาวจุ้ย ผู้ประสานงานประเด็นสุขภาพจิต

เหตุผลที่โครงการเลือกทำงานประเด็นสุขภาพจิต ในพื้นที่งานของศูนย์สุขภาพจิตที่ 7

ก่อนหน้านี้ โครงการฯ ได้เริ่มทำงานประเด็นสุขภาพจิตมาแล้วเมื่อปี 2566-2567 โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง กล่าวคือ เชื่อมร้อยภาคีงานสุขภาพจิตของหน่วยงาน กลุ่ม องค์กร ที่ทำงานในภาคอีสาน ด้วยแนวคิด โชว์ แชร์ เชื่อมร่วมกัน แต่ก็ไม่สามารถยกระดับไปต่อได้เนื่องจากหลายกลุ่มองค์กร ทำงานในพื้นที่ตนเองซึ่งอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะเชื่อมงานกันได้ต่อเนื่อง โครงการรอบนี้จึงเลือกโซนการทำงาน และอาศัยต้นทุนเดิมจากปีก่อน ประกอบกับข้อมูลสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในพื้นที่ที่มีความหนักหน่วง จึงเลือกดำเนินการในพื้นที่รับผิดชอบศูนย์สุขภาพจิตที่ 7

“ มองว่าเรื่องสุขภาพจิตมีปัญหา คือมีเรื่องของคนป่วยมากขึ้น คนซึมเศร้ามากขึ้น คนมีความเครียดเยอะขึ้น อันนี้ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าเอาข้อมูลส่วนตัวที่ตัวเองทำงาน คือ ตัวเองเป็นครูมอปลายชีวะ จาก 4-5 ปีที่ผ่านมา พบว่านักเรียนป่วยมากขึ้น ซึมเศร้ามากขึ้น เครียดมากขึ้น เราจะเห็นเลยว่าปัญหาตรงนี้มันเพิ่มขึ้น จึงมองว่าประเด็นนี้สำคัญ และต้องลงมือทำ เพราะสุขภาพจิตของคนส่งผลต่อชีวิตของคนทุกมิติ ”

“ เราใช้ต้นทุนเดิมในการทำงาน และใช้ Data Driven คือมาดูว่าประเด็นสุขภาพจิตในพื้นที่ภาคอีสาน โซนไหนมีปัญหาเยอะ โซนไหนควรขับเคลื่อนและพื้นที่มีต้นทุนเดิมอยู่บ้าง มีคณะทำงานของเราอยู่บ้าง ซึ่งเรามีภาคีอยู่โซนขอนแก่น เราเลยเลือกศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 เป็นภาคี เพราะดูแลจังหวัด ร้อย-แก่น-สาร-สินธุ์ อยู่แล้ว บวกกับศูนย์ฯ มีการทำงานเชิงรุกที่โดดเด่น จึงเป็นเหตุผลประกอบกันที่เลือกพื้นที่โซนนี้ทำงาน ”

ใช้แนวทาง Happy Community ชุมชนเป็นฐานร่วมแก้ปัญหาสุขภาพจิต

ด้วยความที่โครงการเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพกลไกภาคีให้เกิดการหนุนเสริม สอดประสาน ผลักดันให้เกิดวาระงานร่วมกัน โดยอาศัยองค์ความรู้จากพื้นที่ต้นแบบ/คนต้นแบบมาต่อยอดขยายผล ซึ่งในประเด็นสุขภาพจิตใช้แนวทาง Happy Community เป็นเกณฑ์ในการเลือกถอดองค์ความรู้

“ เราใช้หลักการที่เรียกว่า Happy Community คือเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงาน โดยเลือกพื้นที่ชุมชนต้นแบบที่มีกระบวนการดูแลสุขภาพจิตคนในชุมชน เทคนิคการทำงานเขาเป็นยังไง แล้วเราจะไปถอดบทเรียน รวมถึงค้นดูว่าคณะทำงานเราจะไปเติมช่องว่างตรงไหน ให้แข็งแรงมากขึ้น ”

“ เราอยากทำให้คนลุกขึ้นมาดูแลจิตใจตนเอง ให้เข้มแข็ง แข็งแรง เพราะด้วยโลกสังคมตอนนี้มันมีแนวโน้มทำให้เราเครียดมากขึ้น เลยคาดหวังว่าถ้าโครงการนี้ขับเคลื่อนไป จะทำให้ หนึ่งเราจะได้ภาคี และภาคีได้รับการพัฒนาศักยภาพเพิ่มมากขึ้น ตัวเขาเองจะมีสุขภาพจิตใจที่แข็งแรง การทำงานจะช่วยส่งแรงกระเพื่อมไปยังคนในพื้นที่ให้สามารถดูแลตัวเองได้ หรือดูแลคนใกล้เคียงได้ด้วย ”

ความท้าทาย ของคนทำงานประเด็นสุขภาพจิต

ครูวชิรญาณ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากเห็นและอยากทำให้เกิดขึ้นทั้งเป้าหมายส่วนตัวและทีมงาน คือ อยากให้คนเปลี่ยนมุมมองมาเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นเป้าหมายชีวิต หันมาดูแลใจตัวเองให้แข็งแรงเกิดภูมิคุ้มกันและสามารถดูแลคนรอบข้างได้ด้วย ส่วนเป้าหมายการทำงาน จะทำอย่างไรให้ข้อเสนอที่จะเกิดขึ้นในโครงการ นำสู่การปฏิบัติได้จริงและยั่งยืน ซึ่งสิ่งที่อยากเห็นนี้เป็นทั้งความท้าทาย และเป้าหมายในขณะเดียวกัน

“ ด้วยตัวเราเองได้มาทำงานด้านสุขภาพจิตยังไม่นาน และก่อนหน้ายังไม่ใช้คำว่างานด้านสุขภาพจิต เป็นเหมือนคนสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กเห็นคุณค่าตัวเอง เห็นเป้าหมายในชีวิต พอมาจับงานสุขภาพจิต คนส่วนใหญ่มักมองว่างานสุขภาพจิต เป็นความเจ็บป่วย คือการซึมเศร้า คือการฆ่าตัวตาย ความท้าทายส่วนตัว เราเลยอยากเปลี่ยนมุมมองของคนทั่วไปว่า งานสุขภาพจิตคือการดูแลใจตัวเองให้แข็งแรง ให้มีภูมิคุ้มกัน มันจะเกิดขึ้นได้ไหม ? อันที่สองคือ คนในทีมทำงานเรามองถึงการทำข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่ไม่ใช่แค่เป็นข้อเสนอเปล่าๆ แต่จะทำยังไงให้นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง ถ้าเกิดขึ้นได้จริง แล้วยั่งยืนไหม ? เพราะทุนจะไม่มีแล้ว คนทำงานจะไม่มีแล้ว เราคิดไปถึงว่าแต่ละคนตระหนักได้ว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องของเรา เราต้องดูแลตัวเอง ต้องช่วยกันดูแลคนรอบข้าง อันนี้คือที่อยากเห็น ”

ผศ.ดร.คณิน เชื้อดวงผุย ผู้รับผิดชอบโครงการฯ

ด้านความเห็นของผู้รับผิดชอบโครงการฯ ผศ.ดร.คณิน เชื้อดวงผุย อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวเสริมว่า การทำงานของเครือข่ายประเด็นสุขภาพจิต ที่เป็นหนึ่งใน 4 ประเด็นในโครงการนั้น ถือว่า เริ่มต้นได้ดีทีเดียว และเลือกภาคีขับเคลื่อนที่มีความรับผิดชอบในเนื้องานสุขภาพจิตอยู่แล้ว มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ น่าจะทำให้การทำงานราบรื่น และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

“ ประเด็นสุขภาพจิตถือว่าไปได้เร็วกว่าประเด็นอื่น เริ่มต้นได้ดีเลย วันนี้ก็ได้แนวทางการเลือกกรณีศึกษา ได้สเปคพื้นที่ถอดบทเรียนว่าจะเป็นแบบไหน ยังไง และยังมีการมอบหมายงานให้กับคณะทำงานทำหน้าที่ รวมทั้งได้ความชัดเจนที่จะดึงภาคีมาร่วมว่าจะเป็นใครได้บ้าง ทำให้ไม่คลุมเครือที่จะชวนมาร่วมงาน อีกอันหนึ่งที่โดดเด่นคือการประสานกับภาคีภาครัฐที่เป็นเจ้าภาพหลักของการขับเคลื่อนประเด็นงานสุขภาพจิต ก็คือศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 ซึ่งสามารถสนับสนุนทรัพยากรห้องประชุม และคนทำงานแก่โครงการได้ รวมถึงผู้บริหารก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถือเป็นจุดแข็งของการเลือกภาคีทำงานขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพจิต และน่าจะได้รับความร่วมไม้ร่วมมือเป็นอย่างดี จากภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเครือข่ายศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 ทั้ง 4 จังหวัด (ขอนแก่น, กาฬสินธุ์,ร้อยเอ็ด,มหาสารคาม ) รวมทั้งยังสามารถเชื่อมโยงกับภาคี สช./กขป.เขต 7 ได้อีกด้วย คือกำหนดพื้นที่ชัดเจน ทำให้เห็นภาคีชัดตามไปด้วย ”