post-image

กินสบายใจ ความหวังใหม่โรงเรียนบ้านคูเมือง

แสงตะเว็นจ้า ณ บ้านคูเมือง

            บ้านคูเมือง ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นชุมชนขนาดใหญ่เคียงข้างลำน้ำมูล มีผู้คนหลากหลายถิ่นฐานอพยพโยกย้ายเข้ามาพำนักอาศัยหลายละลอกตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน เกษตรกรรมและปศุสัตว์เป็นอาชีพที่ชาวบ้านผ่องถ่ายวัฒนธรรมสืบต่อกันมา มีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกับชาวลาวอีสานทั่วไป วัดบูรพาราม คือ ศูนย์รวมศรัทธาผู้คน เช่นเดียวกับโรงเรียนบ้านคูเมือง (อ่อนอนุเคราะห์) จังหวัดอุบลราชธานี ที่รับบทบาทขัดเกลาลูกหลานในชุมชนมาหลายยุคสมัย 

            ดิฉัน “นางศรีสุดา ทองคำห่อ” อยู่บ้านเลขที่ 289 บ้านคูเมือง หมู่ที่ 4 ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ลูกสาวของนางยวนใจ ศรีสงคราม ไทบ้านคูเมือง ดิฉันได้มีโอกาสคืนถิ่นกลับมาสอนที่โรงเรียนบ้านคูเมืองเมื่อปี 2546 รับผิดชอบสอนกลุ่มสาระการงานอาชีพ วิชาที่ได้ฝึกทักษะการทำงาน การใช้ทักษะชีวิต เพื่อให้นักเรียนนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน จากจุดนี้เองได้ทำให้ดิฉันเข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการเกษตรอินทรีย์มาโดยตลอด หากเล่าย้อนกลับไปในปี 2558 ดิฉันได้สมัครเข้าร่วมโครงการข้าวอินทรีย์ ซึ่งมีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเป็นพี่เลี้ยง โครงการนี้ทำให้ดิฉันมีโอกาสได้เรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ในหลากหลายรูปแบบจนเข้าใจหลักการและความสำคัญของมัน จึงมีแนวคิดที่อยากเชิญชวนเกษตรกรในชุมชนให้มาร่วมปรับเปลี่ยนการทำเกษตรจากการใช้สารเคมีเป็นการทำเกษตรแบบอินทรีย์ เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ความคิดดังกล่าวก็ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจนกระทั่งในปี 2560 “หัวหน้าคนึงนุช วงศ์เย็น” ได้เข้ามาชักชวนผู้บริหารโรงเรียนบ้านคูเมืองให้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนกินสบายใจ นั่นหมายความว่าความฝันที่ดิฉันเผ้าทะนุถนอมเอาไว้ตลอด 2 ปีกำลังจะถูกสานต่อให้เป็นความจริง

            หลังสิ้นเสียงเคารพธงชาติของเช้าวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้บริหารโรงเรียนบ้านคูเมืองได้ทำหนังสือแจ้งประชาสัมพันธ์ถึงผู้ใหญ่บ้านคูเมืองทั้ง 3 หมู่บ้าน เพื่อเชิญชวนเกษตรกรที่สนใจนำผลผลิตทางด้านการเกษตรของตนเองมาขายให้ทางโครงการฯ ได้ และเชิญชวนเข้าประชุมรับฟังข้อมูล ดิฉันจำบรรยากาศในเช้าวันนั้นได้เป็นอย่างดี มีชาวบ้านผู้คร่ำหวอดอยู่กับแปลงผักหลายต่อหลายรุ่นตบเท้าเข้าร่วมรับฟังข้อมูลโครงการกันจนแน่นขนัดห้องประชุม พอดิฉันชี้แจงเงื่อนไขการรับซื้อผลผลิตที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบปรุงอาหารกลางวันให้นักเรียนรับประทานเท่านั้นแหล่ะ  

                        “ผลผลิตจะต้องปลูกแบบปลอดภัย ห้ามใช้สารเคมีและชาวบ้านต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่โครงการกำหนด”

            เพียงแค่นี้เกษตรกรทั้งห้องประชุมถึงกับพร้อมใจกันส่ายหน้าไปตาม ๆ กัน เสียงซุมแซวจากวงนั้นวงนี้ ซ้ายทีขวาที เร้นรอดออกมาเป็นระยะ “พวกเฮาซิเฮ็ดกันได้อยู่บ่ มันคึสิเป็นตายากแท้ล่ะหัวหน้า” “โอ้ยน้อ เพิ่นบ่ฮู้ตี้ว่าปลูกของบ่ไซ่ปุ๋ยมันงามซ้าคึหยังนิ หมากผลก็ออกหน่อย กั่วสิได้เงิน”

 

          แล้วดิฉันจะต้องทำอย่างไรต่อไป

            การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ ที่คนยังไม่คุ้นชิน ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องยากและท้าทายเสมอ เช่นเดียวกันการจะทำให้คนบ้านคูเมืองเห็นความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ รู้จักประโยชน์ของมัน เข้าใจวงจรอาหารปลอดภัยที่เชื่อมโยงเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่แปลงผลิต แปรรูป จัดจำหน่าย จนถึงผู้บริโภคและโรงครัวโรงเรียน จึงน่าจะเป็นการทำงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์หลายแขนงอยู่พอสมควร ดิฉันจึงเลือกที่จะขยับงานในโรงเรียนก่อน เพราะอย่างน้อยก็เป็นหมุดหมายการเดินทางของอาหารปลอดภัย อีกอย่างก็เป็นพื้นที่ที่ดิฉันสามารถจัดการความรู้ได้ง่ายกว่าพื้นที่อื่นด้วย สิ่งที่ดิฉันเริ่มทำก่อนเรื่องอื่นเลยก็คือ การปลูกฝังนักเรียนให้รู้จักอาหารปลอดภัยและเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาศัยห้องเรียนเป็นพื้นที่สร้างการเรียนรู้คู่ขนานกับการประชาสัมพันธ์เสียงตามสายของโรงเรียนเวลาเช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติและช่วงพักเที่ยง จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยับมาสร้างแหล่งเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน ใช้แปลงเกษตรเป็นแหล่งเรียนรู้ภาคปฏิบัติการ ด้านนอกรั้วโรงเรียนเครือข่ายของเราก็พยายามช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น หมอและนักวิชาการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคูเมืองเลือกใช้ช่วงเวลาที่ชาวบ้านมารอรับการรักษารณรงค์ให้ความรู้เรื่องการบริโภคอาหารปลอดภัยเชื่อมโยงกับการรักษาสุขภาพ อีกด้านสำนักงานเกษตรอำเภอได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการปลูกผักแบบปลอดภัยและนำสารชีวภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการเพาะปลูกมาส่งเสริมให้เกษตรกรทดลองใช้กัน จะเห็นได้ว่าทุกภาคส่วนในท้องถิ่นทั้งโรงเรียนคูเมือง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสำนักงานเกษตรอำเภอ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความร่วมไม้ร่วมมือกันของหน่วยงานในท้องถิ่นที่เสริมพลังซึ่งกันและกันตามภารกิจของหน่วยงาน โดยมีจุดหมายปลายทางร่วมกัน คือ ...

 

“สุขภาพที่ดีของคนในชุมชน

เด็กนักเรียนมีอาหารปลอดภัยบริโภคอย่างมั่นคง

และเกษตรกรมีรายหมุนเวียนในท้องถิ่น”

 

            ส่งท้าย

            ดิฉันมองว่าการต่อยอดยังคงดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรแบบไร้สารเคมี คนในชุมชนหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย มีอะไรอีกมากมายที่รอพวกเราปะติดปะต่อให้ภาพฝันนั้นเด่นชัดขึ้นมา แม้ในตอนนี้เกษตรกรที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์จะมีอยู่ในวงจำกัด การรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรเข้าสู่โรงครัวโรงเรียนยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่รอการจัดการให้ลงตัว แต่การมีตลาดอาหารปลอดภัยในชุมชนเองก็มีความจำเป็นอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็เป็นการวางโครงข่ายระบบอาหารปลอดภัยในท้องถิ่นให้สมบูรณ์ สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์ และช่วยเพิ่มช่องทางให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึงอาหารปลอดภัยใกล้ตัวได้ง่ายขึ้น  

            โรงเรียนบ้านคูเมืองจึงได้จัดสรรพื้นของโรงเรียนให้เกษตรกรเข้ามาจำหน่ายสินค้าที่ผลิตได้ในชุมชน มีทั้งสินค้าระดับปลอดภัยไปจนถึงระดับอินทรีย์ การเคลื่อนงานที่ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ได้ดึงดูดให้ อบต.คูเมือง เข้ามาร่วมมือกับโรงเรียนและเครือข่ายเกษตรอินทรีย์กินสบายใจ ยกระดับตลาดให้เป็น “ตลาดนัดท้องถิ่นสีเขียว กินได้สบายใจ ตลาดเขียวแห่งใหม่นี้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2566 ผลผลิตของเกษตรถูกยอมรับจากผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ทำให้เกษตรมีรายได้เพิ่ม คนในชุมชนลดการเจ็บป่วยจากการใช้สารเคมี นักเรียนโรงเรียนบ้านคูเมืองได้รับประทานอาหารกลางวันที่ปลอดภัย

           

“ดิฉันภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกิจกรรมอาชีพเกษตรกรรม สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคทุกกลุ่มในชุมชน ... เกษตรอินทรีย์กินแล้วสบายใจ แต่การต่อยอดยังคงดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด”

 

เรื่อง : ศรีสุดา ทองคำห่อ