
Green Consumers : ผู้บริโภคเพื่อการเปลี่ยนแปลง
โลกรวน โลกร้อน หายนะอาหารท้องถิ่น
เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองมาถึงจุดหนึ่ง จุดที่หลายคนคงกังวลว่าโลกของพวกเราจะไปรอดหรือไม่ เมื่อต้องเผชิญกับ “ภาวะโลกร้อน โลกรวน โลกเดือด” อย่างรุนแรง จนเกิดปรากฏการณ์ความแห้งแล้ง น้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟป่า หมอกควัน พายุและโคลนถล่ม การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการจัดการระบบอาหารของท้องถิ่นอย่างไพศาล เกษตรกรหลายพื้นที่ในภาคอีสานต้องเผชิญกับภาวะฝนทิ้งช่วงในต้นฤดู ฝนตกหนักแบบกระจุกตัวในระยะเวลาอันแสนสั้นจนเกิดน้ำหลากฉับพลันในปลายฤดู ช่างแตกต่างกับฤดูกาลผลิตที่เกษตรกรคุ้นชินนักที่ฝนมักตกแบบกระจายตัวในช่วงต้นฤดู กลางฤดูและปลายฤดู ความแปรปรวนของสภาพอากาศจึงมีผลต่อแบบแผนการเพาะปลูก ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณของผลผลิตที่จะถูกส่งต่อให้ผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากลองสอบถามเกษตรกรในเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกเราก็มักจะได้ยินเสียงตัดพ้ออยู่เสมอว่า ปริมาณข้าว ข้าวโพด ฟักทอง ฯลฯ ที่พวกเขาเคยปลูกได้ผลดี แต่กลับมีปริมาณลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของปีก่อนอย่างน่าใจหาย อีกทั้งความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีปราบศัตรูพืชเพื่อเอาชนะข้อจำกัดด้านการเพาะปลูก ก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
“ เมื่อโลกเดินทางมาถึงจุดนี้พวกเราจะปรับตัวและรับมือกันอย่างไรดี ? ”
ผู้บริโภคสีเขียว: แนวคิดและปฏิบัติการ
ความกังวลใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายมาเป็นแรงเร้าให้พวกเราในฐานะคนทำงานของสมาคมผู้บริโภค จังหวัดขอนแก่น กับเครือข่ายตลาดสีเขียว จังหวัดขอนแก่น สององค์กรที่ขะมักเขม้นทำงานอยู่ในส่วนปลายสุดของระบบห่วงโซ่อาหารปลอดภัย ได้ลุกขึ้นมาตั้งคำถามตัวใหญ่ ๆ กับบทบาทของผู้บริโภคว่า ผู้บริโภคควรมีคุณสมบัติอย่างไร ? ควรต้องเข้ามามีบทบาทอย่างไร ? ที่จะช่วยป้องกันหรือแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โลกรวน โลกเดือดไม่ให้ลุกลาม และก่อผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารอย่างที่เป็นอยู่ จากคำถามข้างต้นทำให้พวกเราต้องออกตามหาเครื่องมือทางความคิดที่จะนำมาใช้เป็นธงนำในการทำงานกับผู้บริโภค กระทั่งมาพบกับแนวคิด “ผู้บริโภคสีเขียว” (Green Consumers) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ผู้บริโภคที่ชาญฉลาด” (Smart Consumers) ซึ่งเป็นคลื่นความคิดที่ปรารถนาให้ผู้บริโภคเปลี่ยนวิถีไปสู่การเป็น “ผู้บริโภคเพื่อการเปลี่ยนแปลง” ที่ร่วมเป็นผู้เล่นในการจัดการระบบอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับตนเองและผู้อื่น สร้างความมั่นคงทางอาหาร ปรับสมดุลสภาพภูมิอากาศและผดุงความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภค เมื่อพวกเราทดลองใช้แนวคิดดังกล่าวทำงานกับผู้บริโภคในเมืองขอนแก่นมาพักใหญ่ ไม่นานมานี้พวกเราจึงได้หาโอกาสวิสาสะกับผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองจนกลายผู้บริโภคสีเขียวได้อย่างเต็มตัว ซึ่งแลดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความชัดเจนในหลักการและมีส่วนช่วยขยายเพดานความรู้ในเรื่องนี้ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น หากกล่าวโดยสรุปตามทัศนะของผู้บริโภคเหล่านี้ “ผู้บริโภคสีเขียว” คือ 1) ผู้เรียนรู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตนเอง 2) ผู้บริโภคที่อุดหนุนผู้ประกอบการที่ใส่ใจธรรมชาติ 3) ผู้ปกป้องสิทธิทางอาหาร
นักเรียนรู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตนเอง
ผู้บริโภคสีเขียวต้องรู้จักศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพืชผักผลไม้และอาหารนานาประเภทอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างพืชผักผลไม้หรืออาหารที่ผลิตตามแนวทางอินทรีย์กับผลิตแบบเคมีที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป ต้องรู้ว่าผักชนิดใดปลูกในฤดูกาลหรือนอกฤดูกาลเพื่อจะได้ไม่ซื้อผักนอกฤดูกาลที่มีการอัตราการเร่งใช้สารเคมีเป็นตัวเร่งการออกผลออกใบที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ต้องรู้ที่มาของอาหารที่จะซื้อมารับประทานว่ามีการเพาะปลูกกันอย่างไร ? ปลอดภัยหรือไม่ ? เพียงใด ? หากเป็นพืชผักอินทรีย์มักมีกรรมวิธีการเพาะปลูกที่ค่อนข้างยากและซับซ้อน เพราะเกษตรกรควบคุมการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ผู้บริโภคสีเขียวจึงควรเต็มใจที่จะอุดหนุนอาหารอินทรีย์แม้ราคาจะสูงกว่าอาหารทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นราคาที่ดูสมเหตุสมผลสำหรับสุขภาพที่ดีกว่า นอกจากนี้ผู้บริโภคสีเขียวยังต้องบริโภคเท่าที่จำเป็นเพื่อลดวงจรการผลิตอาหารที่ทำลายระบบนิเวศ และหันกลับมาพึ่งตนเองด้านการผลิตในครัวเรือนที่คำนึงถึงการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยอีกทางหนึ่ง
นักบริโภคที่อุดหนุนผู้ประกอบการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ริเริ่มทำการผลิตสินค้า อาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์รักษ์โลกออกมาจำหน่ายตามท้องตลาด แน่นอนว่าพวกเขาได้เล็งเห็นความสำคัญของการป้องกันปัญหาโลกร้อนและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป โดยระมัดระวังให้การประกอบธุรกิจของตนเองกระทบกับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด แม้จะต้องลงทุนเพิ่มในมาตรการเฝ้าระวังและรักษาสิ่งแวดล้อมก็ตาม ดังนั้น เพื่อให้กำลังใจแก่ผู้ประกอบการที่ดี มีแนวคิดและการกระทำที่ดี ผู้บริโภคที่ชาญฉลาดจะต้องเลือกบริโภคสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการกลุ่มนี้ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษากลไกการจัดการระบบอาหารปลอดภัย สินค้าและบริการที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นักปกป้องสิทธิทางอาหาร
“ผู้บริโภคสีเขียว” ต้องรู้จักสิทธิและหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนและร่วมมือกับองค์กรหรือหน่วยงานในการป้องกันการถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภค โดยการคุ้มครองสิทธิการบริโภคนั้นผู้บริโภคต้องรู้จักสิทธิของตนเอง 5 ประการก่อนเป็นลำดับแรก คือ ประการแรก สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารและคำอธิบายคุณภาพของสินค้าอย่างถูกต้องและเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ปัจจุบันมีการให้ข้อมูลสินค้าเพียงด้านเดียวหรือมีการโฆษณาเกินจริงมากมาย ประการที่สอง สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างอิสระ ไม่ถูกกดดันหรือบังคับ ประการที่สาม สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ปัจจุบันมีสินค้าหรือบริการที่ไม่ปลอดภัยจำนวนไม่น้อยที่จำหน่ายในท้องตลาด ประการที่สี่ สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ไม่ถูกผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบ และ ประการที่ห้า สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาชดเชยเยียวยา เมื่อถูกละเมิดสิทธิทั้ง 4 ข้อข้างต้น
ปัจจุบันมีผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิมาร้องเรียนเพื่อขอรับการเยียวยาจากผู้ประกอบการหลายกรณี บางกรณีได้รับการเยียวยาแล้ว บางกรณียังอยู่ระหว่างการดำเนินการไกล่เกลี่ย และอีกหลายกรณีที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในศาล ฉะนั้น หากผู้บริโภคสีเขียวมีความเข้าใจในหลักสิทธิผู้บริโภคทั้ง 5 ข้อข้างต้น และมีความเข้าอกเข้าใจการจัดการอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่การผลิต แปรรูป บรรจุหีบห่อ ขนส่ง ทำการตลาดและจัดจำหน่าย เท่าทันข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์สำหรับตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร สินค้าและบริการที่ปลอดภัย มีการรวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างหลักประกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายภาคหน้า หรือหากเกิดปัญหาก็ใช้สิทธิร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐและองค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนอย่างทันท่วงที ผู้บริโภคสีเขียวจะกลายเป็นกลไกสำคัญที่มีส่วนในการผลักดันให้เกิดการจัดการระบบอาหารปลอดภัยที่มีคุณภาพ เกิดสังคมของผู้บริโภคที่เข้มแข็ง ลดการถูกละเมิดจากผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบต่อผู้บริโภค สังคมและสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตของผู้บริโภคก็จะดีขึ้นนั่นเอง
สุดท้ายนี้ หากเราลองคำนวณจากจำนวนประชากรโลกในปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 8,000 ล้านคน ประชากรไทยอีกประมาณ 66 ล้านคน .....
“ ..... เมื่อทุกคนบนโลกใบนี้ปรับเปลี่ยนตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิด วิถีชีวิตให้เอื้อต่อการลดการเอาเปรียบสิ่งแวดล้อม
โดยการเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาด รู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกันทางความคิด
สนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลก บริโภคเท่าที่จำเป็น เน้นการพึ่งตนเอง
โลกของเราก็จะเป็นโลกที่ไม่เอาเปรียบสิ่งแวดล้อม
และไม่ขโมยทรัพยากรของรุ่นลูกรุ่นหลานมาใช้
และเป็นโลกที่น่าอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้ ..... ”
เรื่อง/เรียบเรียง : จิระนันท์ พากเพียร