
83 หลังคาเรือน ขับเคลื่อนงานขยะ
ในช่วงเช้าของวันที่สายฝนโปรยปรายต้นเดือนกันยายน ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านจิก 6 คน ได้พร้อมหน้ากันที่ศูนย์
เรียนรู้กลไกสภาชุมชนบ้านจิก ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดมุจจลินทาราม ตำบลกุศกร อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการขับเคลื่อนชุมชนน่าอยู่ ผ่านกลไกสภาผู้นำชุมชน ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนัก 6 ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 5 นับได้ว่ายาวนานพอสมควรสำหรับหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีกันอยู่ประมาณ 83 หลังคาเรือน คุณพ่อไพศาล แถมวัล รองประธานสภาผู้นำชุมชนควบตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า “แต่ก่อนหมู่บ้านมีปัญหาเรื่องการดื่มเหล้า เสียงดัง สูบบุหรี่ในชุมชน ขยะก็ฮก เฮื้อ ย่างไปไสก็บ่เป็นแตเบิ่ง ผู้นำก็ปรึกษากันว่าจะแก้ไขจังได๋ ผู้ได๋ผ่านไปผ่านมาเค้าก็เว่ากัน” ต่อมาผู้นำหมู่บ้านก็ได้รับการติดต่อมาจากพี่เลี้ยงโครงการ ซึ่งในเวลานั้นคือ พี่ปุ้ย (สมศักดิ์ สีวะจูม) ทีมสนับสนุนวิชาการ ได้เข้ามาชวนทีมผู้นำหมู่บ้านให้เข้าร่วมการขับเคลื่อน “ชุมชนน่าอยู่” ผ่านกระบวนการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมวิเคราะห์ ร่วมวางแผนโดยใช้กลไก “สภาผู้นำชุมชน”
มีการไปศึกษาดูงานศูนย์เรียนรู้ต้นแบบด้านชุมชนน่าอยู่ ที่หมู่บ้านสำโรง ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ และพื้นที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง ซึ่งเป็นการจุดประกายแนวคิดชุมชนพึ่งตนเอง จากนั้นทีมผู้นำชุมชนก็ตกผลึกและเริ่มก่อตัวเป็น ทีมสภาผู้นำชุมชนบ้านจิก ในปี พ.ศ. 2560 ในช่วงแรกสมาชิกของสภาผู้นำชุมชนจะเป็นกลุ่มของผู้นำชุมชนในพื้นที่ คือ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาเทศบาล ประธาน อสม. และ อสม. มีสมาชิกตั้งต้น 26 คน เมื่อดำเนินการผ่านไปในปีต่อ ๆ มา ชาวบ้านเห็นผลสำเร็จและเห็นความสำคัญ จึงมีการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภาผู้นำชุมชนเพิ่มเป็น 42 คน
ในปีแรกเน้นแก้ปัญหาการจัดการขยะโดยเน้นการคัดแยกที่ต้นทาง มีการยกร่างกติกาว่าแต่ละครัวเรือนต้องมีการคัดแยกขยะที่บ้าน ห้ามทิ้งขยะในที่สาธารณะ หากพบเห็นทีมสภาผู้นำชุมชนก็จะทำการตักเตือน บอกกล่าว ใช้กติกาสังคมเป็นบทลงโทษ โดยบ้านของทีมผู้นำสภาชุมชนจะเป็นต้นแบบในการคัดแยกขยะ เริ่มจากการคัดแยกขยะอินทรีย์ทิ้งในถังหมักรักษ์โลก ใช้การตัดก้นถังพลาสติกแล้วฝังลงไปในดิน และนำขยะเศษอาหารมาเติมใส่ในถังให้เกิดการย่อยสลายตามธรรมชาติ ส่วนขยะรีไซเคิลก็มีการเน้นให้ความรู้ในการคัดแยกเพื่อเก็บรวบรวมไว้ขายให้กับร้านรับซื้อของเก่าในหมู่บ้าน ขยะอันตรายมีการให้เก็บรวบรวมและนำมาทิ้งที่จุดรวบรวมขยะอันตรายบริเวณบ้านผู้ใหญ่บ้าน ขยะส่วนที่เหลือก็คือขยะทั่วไปที่ชาวบ้านจะต้องนำไปกำจัดด้วยการฝังหรือเผาในที่นาของตนเองที่ห่างไกลจากชุมชน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน
หลังจากดำเนินการผ่านไป 6 เดือนแรก ชาวบ้านในชุมชนเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ชาวบ้านจึงให้ความร่วมมือมากขึ้น โดยทีมผู้นำสภาชุมชน 1 คน จะต้องดูแลให้คำแนะนำกับครัวเรือนจำนวน 2 ครัวเรือน ซึ่งสามารถให้คำแนะนำได้อย่างทั่วถึงทั้งหมู่บ้าน สำหรับครัวเรือนที่ไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกปรับเงินเป็นจำนวน 1,000 บาท พ่อณรงค์ กลมเกลี้ยง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านจิก เล่าให้ฟังว่า “ที่ผ่านมา ยังบ่เคยได้ปรับเงินเลย เพราะชาวบ้านเค้าก็ให้ความร่วมมือดี” นอกจากเรื่องการขอความร่วมมือให้มีการคัดแยกขยะที่ต้นทางแล้ว ทีมสภาผู้นำชุมชนยังมีการรณรงค์ในเรื่องของการลดใช้ (Reduce) โดยมีการแจกถุงผ้าให้กับทุกครัวเรือนเพื่อใช้ในการพกติดตัวเมื่อไปซื้อของที่ร้านค้าในหมู่บ้าน เป็นการลดการใช้ถุงพลาสติก
เมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องของขยะได้แล้ว ทีมสภาผู้นำชุมชนก็ขยับมาจัดการปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำเน่า น้ำไม่ระบายในบริเวณหมู่บ้าน โดยใช้ทุนของชุมชนเอง จากดอกผลของ 3 กองทุน คือ กองทุนฌาปนกิจ กองทุนสงเคราะห์ และกองทุนเงินบริจาคของชาวบ้าน ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยของเงินยืม ประมาณ 500,000 บาท เพื่อเป็นการปรับภูมิทัศน์ของชุมชนให้น่าอยู่มากขึ้น ถือว่าเป็นระบบที่ “ชุมชนที่พึ่งตนเอง”อย่างแท้จริง ไม่ต้องรองบสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ แต่ใช้ทุนเดิมในชุมชนมาแก้ไขปัญหาของชุมชนเอง ปัจจุบัน บ้านจิก เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้สำหรับพื้นที่อื่นๆ ในเรื่องของกลไกสภาผู้นำชุมชนที่ขับเคลื่อนชุมชนน่าอยู่ ทาง อบต. เองก็ต้องการให้มีการขยายผลรูปแบบของบ้านจิกไปยังหมู่บ้านอื่นๆ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากความเข้มแข็งของทีมผู้นำชุมชนในหมู่บ้านอื่นนั้นยังไม่ดีพอเท่ากับของบ้านจิก ซึ่งเป็นโจทย์ของท้องถิ่นในการขยายผลไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ ในตำบลให้ได้ต่อไป
คุณสุจิตราภรณ์ สาระคำ เลขานุการสภาผู้นำชุมชน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายก อบต.กุศกร เล่าว่า “ตอนนี้ อบต. ได้เฮ็ดโครงการ กองทุนฌาปนกิจซึ่งเป็นโครงการต่อจากการแยกขยะรีไซเคิลของชาวบ้าน กำลังสิเริ่มในปีงบประมาณ 2567 นี่ค่ะ อบต. จะมารับซื้อขยะเอง ขั้นต่ำชาวบ้านต้องคัดแยกขยะมาขายให้ได้เดือนละ 50 บาท หากเดือนไหนมีขยะบ่ถึง ก็จ่ายเงินเพิ่มเอา” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการคัดแยกขยะรีไซเคิลตั้งแต่ต้นทาง และคาดหวังว่าจะทำให้หมู่บ้านอื่นๆ ในตำบลหันมาเห็นความสำคัญของการคัดแยกขยะมากขึ้น สมาชิกของกองทุนต้องชำระเงินติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน ขึ้นไป ถึงจะได้รับความคุ้มครอง และจะคำนวณเงินสงเคราะห์ให้ครอบครัวละ 50 บาท เมื่อมีคนเสียชีวิตในหมู่บ้านนั้นๆ ถือว่าเป็นรูปแบบการออมเงินอย่างหนึ่งที่เกิดจากการศึกษาดูงานในพื้นที่อื่น และนำมาต่อยอดในพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับการจัดการปัญหาขยะ
บทเรียนที่น่าเรียนรู้เพื่อการนำไปขยายผล
ความต่อเนื่องในการทำงานของทีมสภาผู้นำชุมชน มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินงานเป็นอย่างมาก ซึ่งบ้านจิกนั้นมีการดำเนินโครงการมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากคำบอกเล่าของ แม่จำรอง ชะโครน เหรัญญิกสภาผู้นำชุมชนและควบตำแหน่ง ประธาน อสม. เล่าว่า “ปีแรกหมู่บ้านเฮาก็เฮ็ดโครงการขยะ ปีที่สองก็ปลูกผักปลอดสารพิษในครัวเรือน ปีที่ 3 เฮ็ดการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย ปีที่ 4 ก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลผู้ป่วยโรคบ่ติดต่อเรื้อรัง ปีที่ 5 จึงได้เฮ็ดเป็นศูนย์เรียนรู้ มีอยู่ 3 ฐาน ฐานแรกก็อยู่ในวัดเรียนรู้กลไกการทำงานของสภาผู้นำชุมชน ฐานสองเป็นฐานแยกขยะ และฐานสุดท้ายเป็นฐานการประดิษฐ์ของรีไซเคิล”
ล่าสุดได้มีการส่งเสริมให้มีการทำนาอินทรีย์ โดยมติของหมู่บ้านให้มีการทดลองทำครัวเรือนละ 2 ไร่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาชุมชนให้ครบใน 4 มิติ ได้แก่ มิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม สุขภาพ และเศรษฐกิจ แม้ในด้านเศรษฐกิจจะยังไม่เห็นภาพชัด แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของทีมสภาผู้นำชุมชนที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในด้านนี้ต่อไป 5 ปีที่ผ่าน แม้จะมีการริเริ่มแก้ปัญหาในโครงการใหม่ ๆ แต่กติกาและกิจกรรมที่ดำเนินการในปีแรก เช่น เรื่องจัดการขยะก็ยังมีการดำเนินอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดจนกระทั่งในปัจจุบัน
ทัศนคติของทีม ที่เห็นตรงกันว่า “ไปตามกัน ทำด้วยกัน” ตื่นเช้ามาก็เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่ต้องตรวจตราความเรียบร้อยของหมู่บ้าน หากพบจุดไหนมีปัญหาหรือมีความเสี่ยงก็จะนำเข้าหารือกันในที่ประชุมคุ้ม ซึ่งแบ่งเป็นคุ้มเหนือ และคุ้มใต้ จะมีประธานคุ้มคอยดูแล ประชุมกันในวันที่ 5 ของทุกเดือน เพื่อรวบรวมปัญหาที่พบในหมู่บ้าน และนำเข้าหารือในที่ประชุมสภาผู้นำชุมชนเพื่อหาทางแก้ไขร่วมกันในวันที่ 15 ของทุกเดือนอีกที เป็นกลไกที่เน้นการมีส่วนร่วมของทีมสภาผู้นำชุมชน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง ร่วมมือกัน จึงทำให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในปีต่อ ๆ มาก็ประสบความสำเร็จตามไปด้วย ย้ำให้เห็นความเข้มแข็งของกลไกที่ขับเคลื่อนผ่านทีมผู้นำสภาผู้นำชุมชนอย่างแท้จริง และได้มีการต่อยอดไปยังปัญหาอื่น ๆ เช่น การจัดการจุดเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในชุมชน เป็นต้น อีกข้อสังเกต คือ แกนหลักที่ทำงานจริงเป็นสภาฯ ชุดเดิม 26 คน ที่มีการเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่นและยังมีความกระตือรือร้นและรู้สึกสนุกกับการทำงาน เห็นถึงพลังของชุมชนเป็นอย่างดี อีกปัจจัยของความสำเร็จก็คือพี่เลี้ยงโหนดของ สสส. ที่เข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพเพื่อผลักดันให้สภาผู้นำชุมชนมีความเข้มแข็งจนสุดท้ายเกิดฐานการเรียนรู้ในชุมชนขึ้นมา 3 ฐาน โดยมีสมาชิกสภาฯ เป็นวิทยากรประจำฐาน สร้างการเรียนรู้ให้กับคนภายนอก และถือเป็นการกระตุ้นคนภายในไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะการยอมรับจากคนภายนอกที่เข้ามาเรียนรู้ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้คนในชุมชนรับรู้ได้ถึงความสำเร็จของตนเองมากขึ้น จากการยอมรับของคนภายนอกนั่นเอง
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนา นั้นก็คือการพัฒนาทักษะการกล้าพูดกล้าแสดงออกและสามารถถ่ายทอดความรู้ เป็นวิทยากรของทีมให้กับผู้มาศึกษาดูงานได้ทุกคน อีกหนึ่งความกังวลจากการบอกเล่าของ พ่อสุนทร เจริญท้าว อดีต ผญบ. ที่ปรึกษาสภาผู้นำชุมชน ก็คือ “หากหมดรุ่นพ่อแล้ว ก็อาจจะบ่มีคนเฮ็ดงาน ส่วนใหญ่ทีมสภาผู้นำก็เป็นผู้สูงอายุ มีเวลาเฮ็ดงานได้อีกบ่โดน” ที่ผ่านมาก็มีความพยายามที่จะส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้ามาเรียนรู้รูปแบบการขับเคลื่อน หรือเข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ พ่อไพศาล แถมวัล รองประธานสภาผู้นำชุมชนควบตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้กล่าวคือ “พ่อก็ภูมิใจ ได้เฮ็ดงานให้บ้านเกิดเจ้าของ บ่อยากไปแข่งกับไผ อยากเฮ็ดแบบนี้ อยู่ไปแบบเงียบๆ เอาเกณฑ์เค้ามาเบิ่งเป็นต้นแบบในการพัฒนาบ้านเฮา ยกย่องทุกคนคือกันเบิ่ด” ฟังแล้วรู้สึกประทับใจในทีมงานชุดนี้เป็นอย่างมาก และหวังว่าจะได้กลับไปเยี่ยมเยียนเพื่อติดตามความสำเร็จก้าวต่อ ๆ ไปในอนาคต
เรื่อง/เรียบเรียง : ปวีณา ลิมปิทีปราการ