post-image

“แว้น” : โลก (ไม่) สวยช่วยสังคม การเติบโตของ ‘โก้ Ranger Rider’ เด็กแว้นที่เปลี่ยนเสียงบิดล้อเป็นการทำงานเพื่อสังคม

“...ผมรักในการขับรถมอเตอร์ไซด์ และชอบในการแต่งรถ ผมศึกษาหาข้อมูลจากเพื่อนๆ พี่ๆ เพื่อเอามาปรับแต่งรถของผมให้สวย  และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือการแต่งท่อให้มีเสียงดัง  ในกลุ่มเราจะรู้กันดีว่าร้านไหนที่มีอุปกรณ์ตกแต่งเหล่านี้และที่นั้นก็จะเป็นจุดรวมพลของพวกเรา...

นี่คือเสียงของโก้ หนุ่มนักบิดวัย 20 ปี ที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ในจังหวัดสุรินทร์ ถึงความในใจของเด็กแว้น อย่างพวกเขา

เมื่อกล่าวถึง  เด็กแว้น”  หลายคนคงเบือนหน้าหนี และมองเหมารวมว่าเด็กเยาวชนเหล่านี้คือภาระของสังคม  มิหนำซ้ำยังถูกตีตราว่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีอีกนานัปการ  ทัศนคติดังกล่าวได้กลายเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เด็กเยาวชนนักบิดหลายคนถูกผลักให้เป็นเด็กชายขอบของสังคมคนดี   แต่ในสายตาของวัยรุ่นแล้ว การได้บิดรถสวยๆ  แรงๆ สักคันร่วมกับรุ่นพี่  หรือกลุ่มเพื่อนที่รักและชอบในสิ่งเดียวกันยังคงเป็นความใไฝ่ฝันที่พวกเขาเฝ้าไขว่คว้า และนั่นคือวิถีที่นำพาพวกเขาหลายคนให้เดินทางเข้าสู่ โลกของเด็กแว้น”  อย่างเต็มตัว

การประกาศใช้ ม. 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี พ.ศ.2558  ได้กำหนดโทษเพื่อแก้ปัญหาเด็กแว้นหนักขึ้น  ไปจนถึงการเอาผิดต่อผู้ปกครอง  แต่อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวดูจะใช้ได้ผลในระยะเวลาเพียงช่วงสั้นๆ  และเด็กแว้นก็ยังคงมีอยู่ในทุกหย่อมหญ้าของสังคมไทย

เมื่อถามโก้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำนั้นในความคิดของพวกเขาแล้วมันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงไหม  คำตอบที่ได้คือ ผมก็ยอมรับว่าบางทีเสียงรถก็ดังจนสร้างความรำคาญให้กับคนอื่นๆ  แต่พวกเราไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ใครเดือดร้อน  แต่คนทั่วไปก็ยังมองว่าพวกเราสร้างปัญหาเหมือนเดิมและมิหนำซ้ำยังเหมารวมว่าพวกเราไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด  สิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับพวกเราเลย...

            เดือนมิถุนายน พ.ศ.2563  โก้และผองเพื่อนนักบิดกลุ่มหนึ่งได้ทราบข่าวเรื่องการเปิดรับข้อเสนอโครงการย่อยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ผ่านทาง NODE เด็กเยาวชนจังหวัดสุรินทร์  พวกเขาได้รวมกลุ่มเพื่อนในนามกลุ่ม RANGER RIDER ที่มีเป้าหมายอยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแวน และสร้างมุมมองใหม่ต่อสังคมให้เห็นคุณค่าของพวกเขา ยอมรับสิ่งที่เขารักและชอบโดยการตั้งเป้าหมายว่าจะพาเพื่อนๆ กลุ่มแวนออกไปทำกิจกรรมจิตอาสาที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและเด็กๆ ตามเขตชนบท  และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ สองล้ออาสาพาน้องทำดี ที่พาผองเพื่อนเยาวชนนักบิดเดินทางไปทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนทั้งพัฒนาห้องสมุด  ทาสีรั้วโรงเรียนร่วมกับน้องๆ ในแถบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

            กระทังเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม พ.ศ.2563 ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID 19  รัฐบาลไทยประกาศ lockdown  ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงัก  สังคมได้รับผลกระทบเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า กลุ่ม RANGERRIDER ภายใต้การสนับสนุนของ NODE เด็กฯ  ได้ระดมสมองภายใต้โจทย์ที่ว่า “ในสถานการณ์วิกฤติของสังคมนี้เราจะช่วยคนที่เดือดร้อนได้ยังไงบ้าง” จึงนำมาสู่การทำกิจกรรม ปิ่นโตปันสุขที่ระดมความช่วยเหลือส่งตรงไปถึงคนที่ยากลำบาก และกิจกรรมสวนปันสุข  ที่เน้นให้เยาวชนได้ใช้พื้นที่ว่างๆ ข้างบ้านมาทำเป็นสวนผักเพื่อไว้กินในครอบครัวและแบ่งปันให้เพื่อนร่วมสังคม

            พวกเขาได้ระดมสิ่งของบริจาคจากวัดหลายแห่ง และได้จัดส่งไปยังคนกลุ่มคนไร้บ้าน  คนจนเมือง คนปั่นสามล้อ คนเก็บขยะ เขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตผ่านความยากลำบากและการสู้ชีวิตของคนอีกหลายคน พวกเขาได้เติมเต็มความรู้สึกภาคภูมิใจและเห็นคุณค่าของตนเองจากการเป็นผู้ให้ เขาได้เรียนรู้ว่าการลงมือทำเท่านั้นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง  

แม้วันนี้เขาไม่อาจเปลี่ยนมุมมองของคนส่วนใหญ่ในสังคมให้มองเห็นคุณค่าของเด็กแวนบางกลุ่ม  และโลกของเด็กแวนคงไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาอยากให้เป็น  แต่พวกเขารู้ดีว่าสองมือเล็กๆ ของพวกเขาสามารถเป็นพลังที่เปลี่ยนโลกของใครบางคนให้สวยงามขึ้นได้เช่นกัน

.

เรื่อง/ภาพ : มงคล ปัญญาประชุม